ติดดอยทำยังไง ถามตัวเอง ยอมรับเถอะว่าถ้าท่านติดดอยแล้วกระวนกระวายใจ ท่านมิใช่นักลงทุนระยะยาวของจริง ท่านมิใช่วีไอที่รอบคอบ หรือไม่ก็เป็นนักเทคนิคอลที่เจนจัด. ท่านเป็นไก่อ่อน ท่านยังอ่อนต่อโลกแห่งการลงทุนมากนัก รู้ไม่ลึก รู้ไม่จริง ฉาบฉวย โลภเกินความรู้ ช่ายยย ท่านยังโง่อยู่ โง่แล้วเสือกโลภ ถ้าฉลาดท่านก็คงไม่ปล่อยให้ราคาลงมาจนกลายเป็นความรู้สึกบาดใจทุกทีที่เห็นยอดขาดทุนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงบรรทัดนี้ หลายความคิดอาจรู้สึกขวางใจอยากด่ากลับ ด่าเลยครับถ้าคุณปล่อยคำผรุสวาสออกมาแล้วทำให้คุณฉลาดขึ้นทันใด. คนดีชอบแก้ไข คนอะไรชอบแก้ตัว คนโบราณเคยกล่าวไว้. ถ้าท่านเชื่อว่าเป็นคนดีก็อยากให้อ่านต่อ จากนี้ผมอยากให้ท่านลองถามตัวเองหน่อยว่า ท่านซื้อหุ้นตัวนี้เพราะอะไร? ท่านเคยเห็นความดีงามอะไรในหุ้นตัวนี้? เหตุผลอะไรที่ผลักดันให้ท่านกระสันอยากซื้อหุ้นตัวนี้อย่างบ้าคลั่ง? เป็นพื้นฐานใช่มั้ยที่ท่านเห็นชัดว่าอนาคตจะดีขึ้น? หรือสัญญาณซื้อทางเทคนิคอลที่ชัดเจนว่ามันต้องไปต่อแน่? หรือท่านได้ยินเขาบอกว่ามันกำลังจะวิ่ง?. แล้วมาถึงตอนนี้ทำไมท่านไม่ยึดมั่นในความเชื่อนั้นแล้วล่ะ. ยอมรับเสียเถิด ว่าการติดดอย ก็คือความผิดพลาด!
5 ซื้อหุ้นที่เคยดีในอดีต นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะมองหาหุ้น หรือหลักทรัพย์ที่เป็นที่นิยม หรือได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนอยู่แล้ว ทำให้หลายๆ คนมองข้ามความเป็นจริงของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา หุ้นของบางบริษัท ในกรณีที่โครงสร้าง หรือพื้นฐานธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป เช่น อาจจะมีคู่แข่งในอุตสาหกรรมนั้นๆ มากขึ้น ทำให้การเติบโตของบริษัทค่อยๆ ลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบให้กำไร และราคาหุ้นของบริษัทนั้นๆ ลดลงด้วย หุ้นที่เคยดีในอดีต จึงอาจร่วงลงมาจากฟ้าได้โดยไม่รู้ตัว และทำให้นักลงทุนที่ไปซื้อหุ้นเหล่านี้ พาหุ้นไปติดดอยด้วยอีกสาเหตุหนึ่ง 3. วิธีป้องกันการติดดอย 3. 1 ศึกษาหุ้นแต่ละตัวก่อนลงทุนอย่างละเอียด การทำการบ้าน และหาความรู้ อาจฟังดูเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่หากคุณอยากเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่เทรดเดอร์ขาจร ที่แวะเวียนมาชั่วครั้งชั่วคราวแล้วละก็ การทำการบ้าน และศึกษาหาความรู้ คือ ปัจจัยที่สำคัญในการลงทุนให้ได้กำไร นักลงทุน ควรศึกษาผลประกอบการของบริษัทนั้น ว่ามีผลประกอบการต่อเนื่องย้อนหลังดีหรือไม่ อย่างไร สถานการณ์ของบริษัทในปัจจุบันเป็นอย่างไร บริษัทมีคู่แข่งในอุตสาหกรรมมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น 3.
ขอให้ท่านจงประสพความสำเร็จ "If you can dream it, you can do it. " - Walt Disney
8 พฤติกรรม ทำให้เรา "ติดหุ้น" ติดหุ้น คือ การซื้อหุ้นที่ราคาสูง แล้วหุ้นไหลรูดลงมาจนทำให้เราขาดทุน นักลงทุนอาจจะทำใจได้ขายตัดขาดทุนไป แต่สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถรับความเจ็บปวดจากการขาดทุนได้จึงไม่ยอมขาย เงินก้อนนั้นก็เลยติดหุ้นในท้ายที่สุด นี้คือ 8 พฤติกรรมที่ทำให้เราติดหุ้น ถ้าไม่อยากติดให้หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ครับ มีอะไรบ้างมาดูกัน 1. ซื้อหุ้นตามเพื่อน -- เพื่อนซื้อหุ้นตัวไหน เราซื้อตามไม่เคยทำการบ้าน เพื่อขายแล้วแต่เราไม่รู้ สุดท้ายติดหุ้น 2. ซื้อหุ้นตามเซียน -- เซียนคนไหนไม่รู้จัก แต่ "ได้ยิน"มาว่าเซียนหุ้นคนนี้เก็บ เลยซื้อตาม แต่หารู้ไม่ว่าเซียนออกไปเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังติดหุ้นตัวเดิม พื้นฐานเป็นยังไงไม่รู้จัก 3. ซื้อหุ้นพื้นฐานดี ในช่วงที่มีข่าวดี -- หุ้นตัวไหนที่มีข่าวดีออกมาแล้ว คนพูดถึงกันมาก นั้นหมายถึงหุ้นได้แพงไปแล้ว ขึ้นไปเยอะแล้ว คนซื้อทีหลังเลยติดดอยตามระเบียบ 4. ซื้อหุ้นปั่น ในช่วงที่มีข่าวดี -- หุ้นวิ่งขึ้นไปแล้ว ข่าวออกแล้ว เรามาซื้อทีหลัง ในขณะที่รายใหญ่ขายหุ้นไปแล้ว ติดดอยในท้ายที่สุด ลุกช้าจ่ายรอบวง 5. ไม่มีการคัตลอส -- สำหรับคนเล่นสั้น เก็งกำไร คัตลอสไม่เป็น ติดหุ้นแล้วไม่ขาย นักเก็งกำไรต้องมีจุตคัตลอสที่ชัดเจน 6.
รู้สึกเซ็งที่ขาดทุน 2. รู้สึกหวังว่า ราคาจะกลับมาขึ้นอีก จะได้ไม่ต้องขาย และได้กำไรจากการซื้อครั้งนี้ ทั้ง 2 ความรู้สึกจะตีกันและทวีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป คนบางส่วน ยังหวังว่าราคาจะกลับมาขึ้นอีกมากกว่าจะตัดใจขายออกไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลว่า ไม่มีเงินพอสำหรับ ซื้อครั้งต่อไป รู้สึกไม่อยากเสี่ยง ขาดความมั่นใจ ดู Indicator ไม่เป็นหรือตีความิด หรืออะไรก็ตาม จึง ไม่ยอมขาย ผลก็คือราคายิ่งติดลบลงเรื่อยๆ จึงขาดทุนมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนไม่ยอมขายเป็นเดือนๆ เคร่งเครัยด กระวนกระวาย ไปทำงานก็ฟุ้งซ่าน แต่ละคืนก็ลุ้นนอนไม่หลับ เสียสุขภาพไปอีก สำหรับการแก้อาการติดดอย ก็มีหลายแนวทางที่ผู้รู้ต่างๆได้นำเสนอกัน สำหรับผมแนะนำดังนี้ 1. คิดถึงหลักการของนักเก็งกำไร เช่น Jesse Livermore ซึ่งก็คือ ถ้าดูแนวโน้มถูกต้อง ตลาดจะต้องเป็นไปตามที่คุณคาดเดา ถ้าไม่ก็แสดงว่า ต้องขายแล้วดูแนวโน้มใหม่ ไม่ใช่จะพยายามให้ตลาดเป็นไปตามความคิดของเรา เพราะเล่นหุ้นคือการเก็งกำไร ไม่ใช่ธุรกิจส่วนตัว พวกนักเก็งกำไรจะรู้กันว่า ยอมขาดทุนเล็กๆ 10 ครั้ง แต่ให้ได้กำไรใหญ่ๆ 2-3 ครั้งก็เพียง พอแล้ว 2.