6 และร้อยละ 7. 3 ในรูปเงินบาทและดอลล่าร์สหรัฐตามลำดับ ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 385, 499 ล้านบาท หรือมูลค่า 11, 937 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1. 2 และร้อยละ 6. 2 ในรูปเงินบาทและดอลล่าร์สหรัฐตามลำดับ สินค้าส่งออกอันดับ 1 ยังคงเป็นข้าว มีสัดส่วนส่งออกร้อยละ 17. 5 มูลค่าส่งออก 180, 116 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ไก่ ร้อยละ 10. 7 มูลค่าส่งออก 110, 116 ล้านบาท อันดับที่ 3 ถึงอันดับที่ 5 คือ น้ำตาลทราย ปลาทูน่าปรุงแต่ง และกุ้ง สัดส่วน ร้อยละ 8. 5, 7. 1 และ 5. 7 ตามลำดับ กลุ่มสินค้าหลักที่มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2560 มีจำนวน 7 สินค้า ได้แก่ ข้าว(+8. 0%) ไก่ (+13. 4%) ปลาทูน่าปรุงแต่ง(+9. 5%) แป้งมันสำปะหลัง(+33. 1%) เครื่องปรุงรส(+12. 5%) มะพร้าว(+19. 7%) และอาหารพร้อมรับประทาน(+10. 6) ส่วนสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง จำนวน 3 สินค้า ได้แก่ น้ำตาลทราย(-3. 0%) กุ้ง(-12. 7%) และสับปะรด(-27. 8%) โดยมีญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกอาหารของไทยอันดับที่ 1 รองลงมา ได้แก่ จีน (อันดับ 2), เวียดนาม (4), อินโดนีเซีย (5), เมียนมาร์ (6), กัมพูชา (7), มาเลเซีย (8) และฟิลิปปินส์ (9) จะเห็นได้ว่าตลาดอาหารสำคัญของไทย 6 ใน 8 ประเทศตั้งอยู่ในภูมิภาคอาเซียน แต่หากพิจารณาในกลุ่มภูมิภาค จะพบว่า อาเซียน เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย มีมูลค่าส่งออก 293, 172 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 28.
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หากสนใจสั่งซื้อ บริการจัดส่งให้ทั่วประเทศ โดยติดต่อได้ที่โทร. 083-524-1972 หรือเฟสบุ๊คที่เพจยำหาวโห่ Yomhowho หรือ ศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการอาชีวศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาพระนครศรีอยุธยา นายณรงค์ แผ้วพลสง เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมการแสดงผลงานธุรกิจรอบชิงชนะเลิศของทีมธุรกิจดีเด่น 20 ทีมสุดท้าย (RRR Award 2019) กิจกรรมการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนอาชีวศึกษาในการเป็นผู้ประกอบการภายใต้โครงการส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระในกลุ่มผู้เรียนอาชีวศึกษา ในวันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2562 เวลา 09. 00 – 16. 00 น. ณ ด้านหน้าอาคารสำนักงานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษา โดยภายในงานประกอบด้วยการจัดแสดงผลงานธุรกิจพร้อมกับจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ของ ทีมธุรกิจทั้ง20 ทีม และพิธีมอบโล่รางวัลแก่ทีมธุรกิจ จำนวน 3 ประเภท ได้แก่ รางวัลประเภทนวัตกรรม เชิงพาณิชย์ดีเด่น รางวัลประเภทการบริหารจัดการธุรกิจดีเด่น และรางวัลประเภทผลการประกอบการดีเด่น
4 ของมูลค่าส่งออกอาหารทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ กลุ่มประเทศอเมริกาเหนือ ร้อยละ 11. 8, อันดับ 3 แอฟริการ้อยละ 9. 1 อันดั บ 4 สหภาพยุโรป ร้อยละ 8. 9 และอันดับ 5 โอเชียเนีย ร้อยละ 3. 4 ทั้งนี้ หากคิดเฉพาะกลุ่มประเทศมุสลิม (OIC Country 57 ประเทศ) พบว่า มีมูลค่าส่งออก 180, 777 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 17. 6 "ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 12 ของโลก ปรับตัวดีขึ้น 2 อันดับ จากอันดับที่ 14 ของโลกในปี 2560 โดยพิจารณาจากมูลค่าส่งออกอาหารในรูปดอลลาร์พบว่า ไทยมีส่วนแบ่งตลาดโลกเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2. 36 จากร้อยละ 2. 34 ในปีก่อนหน้า ขณะที่ประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ เช่น สหรัฐฯ บราซิล และจีน ต่างมีส่วนแบ่งตลาดโลกลดลง ส่วนประเทศผู้ส่งออกอาหารที่สำคัญในภูมิภาคอย่างอินเดียและเวียดนาม ต่างก็มีส่วนแบ่งตลาดโลกลดลงเช่นกัน โดยอินเดียเป็นประเทศ ผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 13 ของโลก ตกลงมา 2 อันดับ ขณะที่เวียดนามเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 17 ของโลกดีขึ้น 1 อันดับ" นายยงวุฒิ กล่าวต่อว่า แนวโน้มการส่งออกอาหารไทยปี 2562 คาดว่าจะมีมูลค่า 1, 120, 000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.
ความคึกคักของตลาดหุ้นไทย ที่แม้โควิด-19 ยังคงอยู่ แต่ในหลายๆ ธุรกิจกลับยังเดินหน้าไปได้ดี เห็นได้จากหุ้นไอพีโอหลายๆ ตัวที่เดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2564 นี้ที่ประสบความสำเร็จล้นหลาม มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น โดยข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท. ) เปิดเผยว่า จากต้นปี 2564 ถึงสิ้นเดือนมกราคม 2564 มีการเปิดบัญชีเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์กว่า 2 แสนบัญชี ทำให้นักลงทุนเปิดบัญชีรวมแล้วกว่า 3.
6 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากส่วนของกลุ่มธุรกิจเบเกอรี่และรองท้อง มีมูลค่า 2, 759. 5 ล้านบาท รองลงมาคือ ฟู้ดเซอร์วิส มีมูลค่า 132. 6 ล้านบาท ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจที่บริษัทฯ ซื้อกิจการเข้ามากลางปี 2562 และในปี 2563 ได้เริ่มรับรู้การเติบโตของรายได้ โดยรายได้รวมของ NSL ปี 2563 ลดลงไป 13 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากผลกระทบในช่วงวิกฤตโควิด-19 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเป็น 5. 2 เปอร์เซ็นต์ จากปี 2562 ซึ่งมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 4. 6 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าอัตรากำไรที่สูงขึ้นเป็นเพราะการบริหารต้นทุน และบริหารค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ในปี 2564 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมไม่ต่ำกว่า 3, 500 ล้านบาท และมีเป้าหมายการเติบโตประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์ NSL Foods มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 50.
08 ก. พ. 2564 เวลา 11:50 น.
ETDA พาเจาะอินไซต์ 4 หลักสูตรดิจิทัลแห่งปี ดันองค์กรให้ก้าวทันโลกอนาคต คุณรู้หรือไม่ว่า กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้วิ่งเร็วแค่ไหน ถึงแม้ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนาน และยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ได้พาให้เทรนด์การทำงานระยะไกลอย่างการ Work From Home ที่ได้กลายเป็นหนึ่งใน Now Normal ไปแล้วนั้น สะท้อนให้เห็นว่าคนทำงานได้ปรับตัวและเรียนรู้จากสถานการณ์ในครั้งนี้
แม้เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร แต่ตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศไทยก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตเฉลี่ย 2, 000 ล้านบาทต่อปี ส่วนปีนี้แม้ตลาดจะมีการเติบโตไม่มากนัก แต่ก็เชื่อว่าตลาดนี้ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน การเติบโตของตลาดขนมขบเคี้ยวในตลอดหลายปีที่ผ่านมา เติบโตจากอะไร 1. คนไทยมองขนมขบเคี้ยวเป็นขนมที่สามารถรับประทานได้ตลอดเวลา สามารถสร้างความเพลิดเพลินในการรับประทาน และเป็นหนึ่งในของรับประทานเล่นในงานปาร์ตี้ต่างๆ จากความง่ายในการซื้อหาและสามารถเก็บไว้ได้นาน 2. ตลาดขนมขบเคี้ยวเป็นตลาดที่ผู้บริโภคสามารถเปลี่ยนแบรนด์และเปลี่ยนเซกเมนต์ได้ง่าย ถ้าไม่สามารถหาซื้อแบรนด์หรือไซส์ที่ต้องการได้ ทำให้ตลาดขนมขบเคี้ยวจะแข่งขันในเรื่องของช่องทางจัดจำหน่าย และขนาดของหีบห่ออีกด้วย 3. ผู้บริโภคนิยมซื้อขนมขบเคี้ยวจากขนาดซองและราคามากกว่าปริมาณของขนมขบเคี้ยวที่บรรจุอยู่ในซอง และนิยมซื้อซองใหญ่เนื่องจากมองว่าคุ้มค่ากว่า แต่ความจริงแล้วขนมขบเคี้ยวบางแบรนด์มีการบรรจุขนมในห่อใหญ่จำนวนที่คุ้มค่าน้อยกว่าขนมไซส์เล็ก เช่น ไซส์เล็ก 5 บาท 8 กรัม ไซส์ 10 บาท 15 กรัม เป็นต้น 4. ตลาดขนมขบเคี้ยวในเซกเมนต์มันฝรั่ง เป็นเซกเมนต์ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด 11, 992 ล้านบาท มีผู้นำตลาดอย่างเลย์ ได้ขับเคลื่อนตลาดผ่านมันฝรั่งรสชาติใหม่ๆ และแพ็กเกจใหม่ๆ ออกมาสร้างสีสัน และกระตุ้นเม็ดเงินในกระเป๋าผู้บริโภคเสมอ โดยปีที่ผ่านมาตลาดมันฝรั่งมีการเติบโตมากถึง 13% ซึ่งเป็นเซกเมนต์ที่มีการเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับเซกเมนต์อื่นๆ ในตลาดขนมขบเคี้ยว 5.