๕. เรื่องกุลบุตรคนใดคนหนึ่ง [๑๘๖] ข้อความเบื้องต้น พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภกุลบุตรคน ใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "มลิตฺถิยา ทุจฺจริตํ" เป็นต้น. สามีละอายเพราะภริยาประพฤตินอกใจ ดังได้สดับมา มารดาและบิดานำกุลสตรีผู้มีชาติเสมอกันมาเพื่อ กุลบุตรนั้น. นางได้เป็นหญิงมักประพฤตินอกใจ( อติจารินี ผู้มักประพฤติล่วง. ) ( สามี) จำเดิมแต่วันที่นำมาแล้ว. กุลบุตรนั้นละอาย เพราะการประพฤตินอกใจของนาง ไม่อาจ เข้าถึงความเป็นผู้เผชิญหน้าของใครได้ เลิกกุศลกรรมทั้งหลาย มีการ บำรุงพระพุทธเจ้าเป็นต้น โดยกาลล่วงไป ๒-๓วัน เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง เมื่อพระศาสดาตรัสว่า " อุบาสก เพราะเหตุไร เราจึงไม่ (ใคร่) เห็นท่าน? " จึงกราบทูลความนั้นแล้ว. สตรีเปรียบเหมือนของ ๕ อย่าง ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะกุลบุตรนั้นว่า " อุบาสก แม้ในกาล ก่อน เราก็ได้กล่าวแล้วว่า ' ขึ้นชื่อว่าสตรีทั้งหลาย เป็นเช่นกับแม่น้ำ เป็นต้น. บัณฑิตไม่ควรทำความโกรธในสตรีเหล่านั้น, ' แต่ท่านจำไม่ ได้ เพราะความเป็นผู้อันภพปกปิดไว้" อันกุลบุตรนั้นทูลอาราธนาแล้ว ตรัสชาดก( ขุ. ชุ. ๒๗/๒๑ อรรถกถา. ๓/๙๘. )
)นี้ไว้ ในมโนทวาร. " ด้วยนัยมีประมาณเท่านี้ ความแจ่มแจ้งได้มีแก่ภิกษุผู้ เป็นพหูสูต ดุจการลุกโพลงขึ้นแห่งดวงประทีปฉะนั้น. พระโปฐิละนั้น กล่าวว่า " ท่านสัตบุรุษ คำมีประมาณเท่านี้แหละพอละ" แล้วจึงหยั่งลง ในกรชกาย(แปลว่า ในกายบังเกิดด้วยธุลีมีในสรีระ. ) ปรารภสมณะธรรม. ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งปัญญา พระศาสดาประทับนั่งในที่สุดประมาณ ๑๒๐ โยชน์เทียว ทอด พระเนตรดูภิกษุนั้นแล้วดำริว่า " ภิกษุนั้นเป็นผู้มีปัญญา (กว้างขวาง) ดุจแผ่นดิน ด้วยประการใดแล; การที่เธอตั้งตนไว้ด้วยประการนั้นนั่นแล ย่อมสมควร. " แล้วทรงเปล่งพระรัศมีไป ประหนึ่งตรัสอยู่กับภิกษุนั้น ตรัสพระคาถานี้ว่า:- ๕. โยคา เว ชายตี ภูริ อโยคา ภูริสงฺขโย เอตํ เทฺวธา ปถํ ญตฺวา ภวาย วิภวาย จ ตถตฺตานํ นิเวเสยฺย ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ. "ปัญญาย่อมเกิดเพราะการประกอบแล, ความ สิ้นไปแห่งปัญญาเพราะการไม่ประกอบ, บัณฑิตรู้ ทาง ๒ แพร่ง แห่งความเจริญและความเสื่อมนั่น แล้ว พึงตั้งตนไว้โดยประการที่ปัญญาจะเจริญขึ้น ได้. " แก้อรรถ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โยคา ความว่า เพราะการกระทำไว้ ในใจโดยอุบายอันแยบคายในอารมณ์ ๓๘. คำว่า ' ภูริ ' นั่น เป็นชื่อแห่งปัญญาอันกว้างขวาง เสมอด้วย แผ่นดิน.
บทว่า ลตา ความว่า ตัณหาได้ซึ่งว่า ลตา เพราะอรรถวิเคราะห์ ว่า เป็นเหมือนเครือเถา โดยอรรถว่า เป็นเครื่องพัวพัน และโดยอรรถ ว่า เป็นเครื่องรึงรัดไว้. สองบทว่า อุพฺภิชฺช ติฏฺฐติ ความว่า ตัณหาดุจเถาวัลย์เกิดขึ้น โดยทวาร ๖ แล้ว ย่อมตั้งอยู่ในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้น. สองบทว่า ตญฺจ ทิสฺวา ความว่า ก็ท่านเห็นตัณหาดังเครือเถา นั้น ด้วยอำนาจแห่งที่มันเกิดแล้วว่า " ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ในปิยรูปและสาตรูปนี้. " บทว่า ปญฺญาย ความว่า ท่านทั้งหลายจงตัดที่ราก ด้วยมรรค ปัญญา ดุจบุคคลตัดซึ่งเครือเถาที่เกิดในป่าด้วยมีดฉะนั้น. บทว่า สริตานิ คือแผ่ซ่านไป ได้แก่ซึมซาบไป. บทว่า สิเนหิตานิ จ ความว่า และเปื้อนตัณหาเพียงดังยางเหนียว ด้วยอำนาจตัณหาเพียงดังยางเหนียว อันเป็นไปในบริขาร มีจีวรเป็นต้น, อธิบายว่า อันยางเหนียวคือตัณหาฉาบทาแล้ว. บทว่า โสมนสฺสานิ ความว่า โสมนัสทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อม มีแก่สัตว์ผู้เป็นไปในอำนาจตัณหา. สองบทว่า เต สาตสิตา ความว่า บุคคลเหล่านั้น คือผู้เป็นไป ในอำนาจแห่งตัณหา เป็นผู้อาศัยความสำราญ คืออาศัยความสุขนั่นเอง จึงเป็นผู้แสวงหาความสุข คือเป็นผู้เสาะหาความสุข. บทว่า เต เว เป็นต้น ความว่า เหล่านระผู้เห็นปานนี้ย่อมเข้าถึง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายแท้ ฉะนั้นจึงเป็นผู้ชื่อว่า เข้าถึงชาติและชรา.